อะคริลิคคืออะไร? แล้วนำไปตกแต่งภายในได้อย่างไร?

อะคริลิคเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติก ที่สังเคราะห์มาจากอนุพันธ์ของกรดอะคริลิค ซึ่งรูปแบบของสารที่ถูกนำมาใช้บ่อยๆ จะอยู่ในรูปของ Polymethyl Methacrylate acrylic หรือ PMMA เนื่องจากเป็นรูปที่มีความคงทนต่อสภาพอากาศ, มีความแข็งแรง, โปร่งใส และใช้งานได้หลากหลาย โดยโพลีเมอร์ที่นำมาใช้นั้น ก็จะมีคุณภาพที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับกระบวนการอัดฉีดขึ้นรูป เช่นเดียวกับเรื่องสีของโพลีเมอร์ทั้งใส, โปร่งแสง, ทึบแสง หรือมีสีสันอื่นๆ รวมทั้งคุณสมบัติในการทนความร้อน, การยอมให้แสงผ่าน, ความแข็งแรง และความสามารถในการยืดขยาย เป็นต้น

อะคริลิคค สามารถ ประยุกต์ใช้ในงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ อุปกรณ์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ Decorate Display สำหรับธุระกิจเครื่องสำอางค์ อุปกรณ์ตกแต่งในห้องน้ำ ป้ายโฆษณาหรือป้ายชื่อร้าน และอื่นๆ อีกมากมาย แต่มีการใช้งานบางอย่างที่นำจุดเด่นของพลาสติกมาใช้ได้อย่างลงตัว นั่นคือ

มีสมบัติโดดเด่นในเรื่องความเหนียว (toughness)
ความโปร่งใส (transparent)
สามารถขึ้นรูปได้ง่าย
การมีความหนาแน่นต่ำ

เรียกได้ว่ามีคุณสมบัติ หลายๆอย่างนี้ สามารถทำให้อะคริลิกเป็นสวัสดุที่นำไปตกแต่งภายในและภายนอกอาคารได้เป็นอย่างดีเลย โดยทั่วไปนั้นอะคริลิคจะถูกนำไปใช้เป็นป้ายตัวอักษรติดตามผนังอาคาร, ประตู, และกระจก เพื่อความสวยงามและยังสื่อการกับลูกค้าได้อีกด้วย เช่น ตัวอักษรอะคริลิคติดผนังบอกชื่อร้านหรือบริษัท, ลูกศรบอกทาง และ ชื่อโซนต่างๆในอาคาร, หรือแม้กระทังนำไปทำชื่อเมนูอาหาร-กาแฟ สำหรับอาหารเพื่อเพิ่มความสวยงามและหรูหราให้กับร้านของเรา และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้การตกแต่งด้วยอะคริลิคนั้นเป็นที่นิยมก็เพราะว่าตัวอะคริลิคนั้นมีมิติ และ ความทนทานมากกว่าการตกแต่งด้วยการใช้สติ๊กเกอร์ทั่วไปแม้ด้วยราคาที่แพงกว่าสติ๊กเกอร์เพียงเล็กน้อย อะคริลิคก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะเพิ่มความหนาดึงดูด และ ความสวยงามให้กับหน้าร้านของคุณ

ภาษีป้ายโฆษณาคืออะไร? ใครเป็นคนจ่าย?

หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการขึ้นป้ายโฆษณานั้นจะต้องมีการเสียภาษีป้ายให้กับภาครัฐตามกฎหมายกำหนด โดยภาษีป้าย ณ ที่นี้ คือ ภาษีที่จัดเก็บจากป้ายโฆษณาสินค้าต่างๆ แล้วที่นี้เราจะได้รู้ได้อย่างไรว่าป้ายโฆษณาที่เรามีอยู่ หรือ กำลังจะมีนั้นจะต้องเสียภาษีตามที่กฏหมายกำหนดหรือไม่? มาดูกันครับ

ป้ายที่ต้องเสียภาษี
ได้แก่ ป้ายที่แสดงชื่อ ยี่ห้อหรือเครื่องหมาย ที่ใช้ในการประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่น เพื่อหารายได้หรือโฆษณาการค้าหรือกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะได้แสดงหรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใด ๆ ด้วยอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่เขียน แกะสลัก จารึก หรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่น

นี่คือข้อนิยามของป้ายที่จะต้องเสียภาษีป้ายโฆษณาตามกฎหมายครับ โดยภาษีป้ายโฆษณานั้นจะแตกต่างกันไปตามภาษาและตัวอักษรที่ใช้ในป้ายโฆษณาของเรานั้นเอง ตามกฎหมาย ภาษีป้ายโฆษณามีทั้งหมด 3 ประเภท
(1) ป้ายที่มีอักษรไทยล้วนให้คิดอัตรา 10 บาทต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตร
(2) ป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศและหรือปนกับภาพและหรือเครื่องหมายอื่นให้คิดอัตรา 100 บาท ต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตร
(3) ป้ายดังต่อไปนี้ ให้คิดอัตรา 200 บาทต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตร
(ก) ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใด ๆ หรือไม่
(ข) ป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ

โดยทั่วไปภาษีป้ายส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในประเภทสองเพราะว่าลูกค้าจะต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จะมีเพิ่มเติมจากการใช้ภาษาอื่นล้วนนอกจากภาษาไทยในป้ายโฆษณาของตนเอง หรือ บริษัทป้ายโฆษณาจะแจ้งกับลูกค้าก่อนทำการตกลงขึ้นป้าย ให้ลูกค้ารู้ถึงส่วนต่างระหว่างภาษีป้ายประเภท 2 และ 3 ซึ่งค่อนข้างแพงกว่ากันพอสมควรเลยทีเดียว ดังนั้นลูกค้าควรคำนึงถึงภาษีป้ายให้ดีก่อนการออกแบบภาพกราฟฟิกหรือข้อความโฆษณาของตนเอ

โดยทั่วไปแล้วบริษัทป้ายโฆษณาหรือผู้ให้เช่าป้ายโฆษณาจะเป็นผู้รับผิดชอบภาษีป้าย แต่อย่างไรก็ตามจะต้องมีการทำข้อตกลงกับลูกค้าก่อนขึ้นป้ายเสมอความทางบริษัทจะรับผิดชอบภาษีป้ายโฆษณาประเภทไหนบ้าง เช่น ทางบริษัทจะรับผิดชอบภาษีป้ายโฆษณาประเภท 1 และ 2 แต่เพียงผู้เดียว แต่หากเป็นภาษีป้ายโฆษณาประเภท 3 ทางบริษัทจะรับผิดชอบ 50% และลูกค้ารับผิดชอบ 50% หรือ ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบภาษีป้ายโฆษณาประเภท 3 100% เป็นต้น

ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีป้าย

  • ป้ายที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขพื้นที่ป้าย ข้อความภาพหรือเครื่องหมายบางส่วนในป้ายได้เสียภาษีป้ายแล้วอันเป็นเหตุให้ต้องเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้น ให้คิดอัตราตาม 1 , 2 หรือ 3 แล้วแต่กรณีและให้เสียเฉพาเงินภาษีที่เพิ่มขึ้น
  • เศษของ 500 ตารางเซนติเมตร ถ้าเกินครึ่งให้นับเป็น 500 ตารางเซนติเมตร ถ้าต่ำกว่าปัดทิ้ง
  • ป้ายใดเมื่อคำนวณแล้ว จำนวนเงินต่ำกว่า 200 บาท ให้เสีย 200 บาท
  • ภาษีป้ายจะต้องเสียเป็นรายงวด โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เดือน มีนาคม ของทุกปี
  • ภาษีป้ายสามารถทำเรื่องผ่อนชำระได้

ใช้สติ๊กเกอร์-ฉลากสินค้ากับผลิตภัณฑ์แล้วดีอย่างไร?

แน่นอนว่าในสมัยนี้มีหลายๆคนฝันอยากมีแบรนด์เป็นของตัวเอง โดยอยากจะเริ่มจากการขายสิ่งที่เราชอบหรือเรามีความรู้ความเชี่ยวชาญในสินค้านั้นๆ มาเป็นรายได้เสริมจากงานประจำหรือแม้กระทั้งเริ่มต้นตั้งธุรกิจของตัวเองตามความฝัน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะประสบความสำเสร็จในตลาดที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสติ๊กเกอร์และฉลากสินค้าที่เรานำมาใช้กับสินค้าเรานั้นจึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้แบรนด์ของเราประสบความสำเร็จ

สติ๊กเกอร์หรือฉลากสินค้าที่เรานำมาใช้กับสินค้าของเรานั้นถือว่ามีความสำคัญมากเพราะสติ๊กเกอร์และฉลากสินค้าที่ดีจะช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจในตัวสินค้าของเราจากการออกแบบด้วยลวดลายกราฟิกและสีสันที่สวยงามเช่น โลโก้, ชื่อแบรนด์, สโลแกนของแบรนด์, และรูปภาพต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่โอกาสปิดการขายหรือพูดง่ายๆว่าลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของเรานั้นเอง นอกจากนี้ในบางสินค้าอาจจะเป็นสินค้าเช่น สินค้านำเข้า หรือ สินค้าที่ไม่มีภาษาไทยอยู่บนตัวฉลาก ที่ต้องการอธิบายข้อมูลต่างๆ การใช้สติ๊กเกอร์บอกเพื่อบอกข้อมูลและข้อดีต่างๆเพิ่มลงไปก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้สินค้ามีความน่าเชื่อถือและนำไปสู่การปิดการขาย นอกเหนือจากสินค้าประเภทที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แล้วนั้น สินค้าประเภทเสื้อผ้าหรือประเภทอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในบรรจุภัณฑ์ก็ยังสามารถใช้สติ๊กเกอร์มาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเราได้เหมือนกันเช่น การใช้สติ๊กเกอร์ที่มีโลโก้หรือชื่อแบรนด์เรามาติดกระดาษห่อสินค้าและติดเพื่อปิดถุงใส่สินค้านั้นก็เป็นการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าให้กับสินค้าและแบรนด์ของคุณอีกด้วย

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าการออกแบบสติ๊กเกอร์และฉลากสินค้าให้ดูสวยงามน่าดึงดูดและนำมาใช้กับสินค้าของเรานั้นจะมูลค่าและความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าของเรา และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าของเรานั่นประสบความสำเร็จในตลาด และพาเราไปถึงฝัน